Indigoskin X LOGA : Mantra XXL : Limited edition

Indigoskin X LOGA : Mantra XXL : Limited edition


เมื่อความชื่นชอบเป็นสิ่งเดียวกัน โปรเจคนี้จึงเกิดขึ้น…


เอกลักษณ์ความเป็นไทยคือสิ่งที่น่าชื่นชม บ่อยครั้งเรามักเห็นชาวต่างชาติรู้จักประเทศไทยจากภาคธุรกิจต่างๆรวมถึงการถ่ายทอดเอกลักษ์แบบไทยๆผ่านศิลปะวัฒนธรรม แน่นอนว่า นี่คือความภาคภูมิใจของคนไทยที่อยากนำเสนอให้ต่างชาติรับรู้ เช่นเดียวกับสิ่งที่ Indigoskin และ LOGA พยายามทำกับความตั้งใจอยากนำความเป็นไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก


Indigoskin คือแบรนด์ยีนส์พรีเมี่ยม ที่อยู่ในวงการมามากกว่า 13 ปี ถือกำเนิดจาก ธัชวีร์ สนธิระติ ภายใต้คอนเซปต์ "ยีนส์คุณภาพของคนไทย" โดยนำเอาเอกลักษณ์ของศิลปะไทยมาผสมผสานกับ ผ้ายีนส์ระดับ Premium ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีเอกลักษณ์หลักคือ "ลายกนก" ที่กระเป๋าด้านหลังของกางเกงยีนส์รุ่นต่างๆ


"Quality Of Siam" คือสิ่งที่ Indigoskin ต้องการนำเสนอผ่านกางเกงยีนส์และเสื้อผ้า โดยใช้การผสมผสานของศิลปะไทยต่างๆ เช่น "ลายกนก" ที่ปักด้านหลัง พร้อมลวดลายของศิลปะไทยต่างๆที่ถูกนำมาออกแบบใหม่ ให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น หรือการนำเอาผ้าต่างๆที่ทอหรือพิมพ์ด้วยฝีมือช่างคนไทยที่มีฝีมือระดับโลกมาใช้ในเสื้อผ้าต่างๆของ Indigoskin เมื่อบวกกับผ้ายีนส์ระดับโลกจากญี่ปุ่นที่สั่งทอพิเศษให้กับทางแบรนด์เท่านั้น ผ่านการตัดเย็บอย่างประณีตบรรจงของช่างเย็บระดับแนวหน้าฝีมือคนไทย  จึงทำให้ถือกำเนิดกางเกงยีนส์สัญชาติไทยตัวนี้ขึ้นมา


ที่ผ่านมา Indigoskin พยายามมองหา ผ้าทอจากทั่วประเทศไทย อาทิเช่น ผ้าไหมไทย, ผ้าม่อฮ่อม, ผ้าทอมือย้อมครามจากสกลนคร และอีกมากมาย นำมาใช้กับ Indigoskin ในอนาคต เพื่อสนับสนุนผลงานพื้นบ้านของคนไทย และนำออกไปเผยแพร่ในระดับโลก ผ่านกางเกงยีนส์และเสื้อผ้า ไม่เพียงเท่านั้น Indigoskin ยังมีโปรเจคที่จะ Collaboration กับแบรนด์ไทยต่างๆ เพื่อผลักดันแบรนด์ไทยได้ออกแสดงผลงานสู่ระดับโลก


เช่นเดียวกับ LOGA แบรนด์เกมมิ่งเกียร์สายเลือดไทยที่ก่อตั้งโดย อรรถวุฒิ เสริมเลขาวิลาศ ที่มีเป้าหมายเดียวกัน เพราะนอกจากจะอยากให้คนไทยได้ใช้เกมมิ่งเกียร์คุณภาพดีราคาประหยัด เป้นหมายสำคัญของ LOGA คือการพาเกมมิ่งเกียร์สายเลือดไทยไปเป็นที่รู้จักในระดับโลก


จากความชื่นชอบที่ตรงกันโปรเจค Indigoskin X LOGA  : Mantra XXL : Limited edition จึงถือกำเนิดขึ้น…


ธัชวีร์ สนธิระติ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Indigoskin ให้ความเห็นว่า “แบรนด์ Indigoskin และ LOGA ถือกำเนิดจากความต้องการที่จะนำศิลปะไทยในรูปแบบต่างๆ ออกไปแสดงผลงานในระดับโลกผ่านผลิตภัณฑ์ของตัวเองเช่นเดียวกัน ด้วยความคิดเหล่านี้ทำให้ถือกำเนิดเป็นโปรเจคนี้ขึ้นมา”


“เราต้องการนำเอาลาย “Lotus Pattern” หรือ “ลายบ่อบัว” ซึ่งเป็นลายที่โด่งดังที่สุดของแบรนด์ Indigoskin มานำเสนอผ่านผลิตภัณฑ์ของ LOGA อย่างที่รองเมาส์ ที่ออกมาแบบมาให้มีความเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยดีเทลตามแบบฉบับของ Indigoskin อีกทั้งยังมี Key Caps  ที่ออกแบบให้มีความเด่นของการไล่เฉดสี Indigo ในสไตล์ Indigoskin แต่ก็ยังดูเรียบง่ายสามารถนำไปแต่งกับ Keyboard ได้ง่าย ทั้งนี้เราออกแบบผลงานด้วยความคิดแบบ Timeless Design ที่อยากให้ผลงานของเรามองได้ไม่มีเบื่อ”


ขณะที่ อรรถวุฒิ เสริมเลขาวิลาศ ผู้ก่อตั้ง LOGA ก็มีความเห็นในเรื่องความเป็นไทยหรือลายไทยเช่นกัน โดยมองว่า “ในยุคปัจจุบันที่มีช่องทางใหม่ๆในการเสนอความเป็นไทย หรือศิลปะไทยมีมากขึ้นทุกๆวัน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าในชีวิตจริงหรือ หรือสินค้าดิจิตอลต่างๆ รวมถึงการมาของ NFT ทำให้มีพื้นที่ในการแสดงความสามารถของคนไทยได้มากมาย”


แน่นอนว่าโปรเจค Indigoskin X LOGA  : Mantra XXL : Limited edition ที่กำลังจะเกิดขึ้น เราจะได้เห็นเอกลักษณ์ความเป็นไทยเต็มขั้น ซึ่งถ่ายทอดผ่านสินค้าต่างๆที่เตรียมวางจำหน่ายเร็วๆนี้ พร้อมความพิเศษกับสินค้าใน boxset ที่จะมีของแถมเฉพาะของ indigoskin เท่านั้น


สำหรับสินค้าภายในกล่อง Limited edition จะประกอบไปด้วย


-แผ่นรองเม้าส์ Mantra XXL :  Inidigoskin ลายไทยบ่อบัว 


-กระเป๋ายีนส์ขนาดเล็กผลิตครั้งเดียวเท่านั้นในโลก มีโลโก้โลกาและลายบ่อบัวของ indigoskin (มูลค่า 590 บาท)


-Keycap 1 U โลโก้ Indigoskin (Cherry profile) และ Keycap 6.25 U spacebar ลายบ่อบัว (Cherry profile) คีแคป 2 ชิ้นนี้มูลค่ารวม 289 บาท


-สติ๊กเกอร์ 6 ชิ้น ลายโลโก้โลกา x2 ลายโลโก้ indigoskin x2 ลายบ่อบัว x2


-แผ่นรองแก้วลาย indigoskin มูลค่า 199 บาท


- แผ่นหอมพร้อมลาย Indigoskin

ทั้งหมดนี้คือเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่ทุกคนสามารถจับต้องได้ และเป็นช่องทางหนึ่งที่จะช่วยให้แบรนด์ไทยสร้างชื่อเป็นที่ยอมรับในระดับโลก แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือความกล้าคิดกล้าทำ ฉีกแนวคิดเดิมๆ เพื่อรักษาศิลปะของไทยให้อยู่คู่ยุคสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว


“เราพยายามฉีกออกจากกรอบที่คอยกีดขวางและห้ามเอาความเป็นไทยที่สวยงามนั้นออกมาแสดงผ่านรูปแบบของคนยุคใหม่”


“แต่เราเชื่อว่าสิ่งที่เราทำนั้นจะทำให้ศิลปะไทยมันคงอยู่กับคนยุคใหม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น ไม่ใช่เก็บไว้เป็นของสูงที่จับต้องไม่ได้” อรรถวุฒิ เสริมเลขาวิลาศ ผู้ก่อตั้ง LOGA กล่าวทิ้งท้าย